อายตนะ ประตูสู่โลกแห่งอารมณ์
อายตนะ ในหลักศาสนาพุทธ หมายถึง ประตูสู่โลกแห่งอารมณ์ ประกอบด้วยอายตนะภายนอก 6 ประการ ได้แก่ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย และมโน ทำหน้าที่รับอารมณ์จากภายนอกเข้าสู่ภายใน อารมณ์เหล่านี้ส่งผลต่อความคิดและความรู้สึกของเรา นำไปสู่การตัดสินใจและการกระทำต่างๆ ทางโลก
ประเภทของอายตนะ
ในศาสนาพุทธ อายตนะ หมายถึง ประตูสู่โลกของเรา ทำหน้าที่รับอารมณ์จากภายนอกเข้าสู่ภายใน อารมณ์เหล่านี้จะส่งผลต่อความคิดและความรู้สึกของเรา นำไปสู่การตัดสินและการกระทำต่างๆ ทางโลก
อายตนะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- อายตนะภายนอก 6 ประการ ได้แก่
- จักขุ (ตา) รับอารมณ์รูป
- โสตะ (หู) รับอารมณ์เสียง
- ฆานะ (จมูก) รับอารมณ์กลิ่น
- ชิวหา (ลิ้น) รับอารมณ์รส
- กาย (กาย) รับอารมณ์สัมผัส
- อายตนะภายใน 1 ประการ ได้แก่
- มโน (ใจ) รับอารมณ์ธรรม
เมื่ออายตนะภายนอกกระทบกับอารมณ์ภายนอก จะเกิดเป็นวิญญาณ 6 ประการ ได้แก่
- จักขุวิญญาณ (ความรู้เห็น)
- โสตวิญญาณ (ความรู้ได้ยิน)
- ฆานวิญญาณ (ความรู้ได้กลิ่น)
- ชิวหาวิญญาณ (ความรู้รู้รส)
- กายวิญญาณ (ความรู้รู้สัมผัส)
- มโนวิญญาณ (ความรู้รู้ธรรม)
วิญญาณเหล่านี้ จะส่งผลต่อความคิดและความรู้สึกของเรา ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเห็นรูปที่สวยงาม เราก็จะเกิดความสุข เมื่อเราได้ยินเสียงเพลงไพเราะ เราก็จะเกิดความเพลิดเพลิน เมื่อเราได้กลิ่นหอมๆ เราก็จะเกิดความรื่นรมย์ เมื่อเราลิ้มรสอาหารอร่อยๆ เราก็จะเกิดความอิ่มเอมใจ เมื่อเราสัมผัสสิ่งนุ่มนวล เราก็จะเกิดความรู้สึกสบายใจ เมื่อเราคิดเรื่องดีๆ เราก็จะเกิดความรู้สึกเบิกบานใจ
ความคิดและความรู้สึกเหล่านี้จะส่งผลต่อพฤติกรรมของเรา ตัวอย่างเช่น เมื่อเรารู้สึกโกรธ เราก็อาจพูดจาไม่ดี เมื่อเรารู้สึกเศร้า เราก็อาจร้องไห้ เมื่อเรารู้สึกกลัว เราก็อาจวิ่งหนี เมื่อเรารู้สึกหลง เราก็อาจทำผิดพลาด
ดังนั้น อายตนะจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตของเรา เราสามารถควบคุมความคิดและความรู้สึกของเราได้ด้วยการรู้จักฝึกฝนอายตนะให้เจริญขึ้น
หน้าที่ของอายตนะ
อายตนะมีหน้าที่หลักๆ ดังนี้
- การรับอารมณ์ อายตนะทำหน้าที่รับอารมณ์ต่างๆ จากภายนอกและภายในร่างกายของเรา
- การพิจารณาอารมณ์ อายตนะทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์ต่างๆ ที่เรารับมา
- การตัดสินอารมณ์ อายตนะทำหน้าที่ตัดสินอารมณ์ต่างๆ ที่เราพิจารณาแล้ว
- การเสพอารมณ์ อายตนะทำหน้าที่เสพอารมณ์ต่างๆ ที่ตัดสินแล้ว
การพิจารณาอารมณ์
หลังจากได้รับอารมณ์แล้ว เราจะต้องพิจารณาอารมณ์เหล่านั้นอย่างรอบคอบ ว่าอารมณ์เหล่านั้นเป็นสุขหรือทุกข์ เป็นกุศลหรืออกุศล เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ไม่ควรยึดติด
การตัดสินอารมณ์
เมื่อเราพิจารณาอารมณ์เหล่านั้นแล้ว เราก็จะต้องตัดสินอารมณ์เหล่านั้นว่าควรตอบสนองอย่างไร ไม่ควรตอบสนองอย่างไร หากอารมณ์เหล่านั้นเป็นสุขและกุศล เราก็ควรเจริญเติมแต่งให้มากยิ่งขึ้น หากอารมณ์เหล่านั้นเป็นทุกข์และอกุศล เราก็ควรหาทางขจัดออกไป
การเสพอารมณ์
เมื่อเราตัดสินอารมณ์แล้ว เราก็จะต้องเสพอารมณ์เหล่านั้นอย่างเหมาะสม ไม่ควรเสพอารมณ์เหล่านั้นจนเกินพอดี ไม่ควรเสพอารมณ์เหล่านั้นจนเป็นทุกข์
ความคิดและความรู้สึก
ความคิดและความรู้สึกของเรานั้น ล้วนเป็นผลมาจากอารมณ์ที่เกิดจากอายตนะ ตัวอย่างเช่น เมื่อเรารู้สึกโกรธ เราก็จะคิดถึงเรื่องที่ทำให้โกรธ เมื่อเรารู้สึกเศร้า เราก็จะคิดถึงเรื่องที่ทำให้เศร้า
พฤติกรรม
พฤติกรรมของเรานั้น ล้วนเป็นผลมาจากความคิดและความรู้สึกของเรา ตัวอย่างเช่น เมื่อเรารู้สึกโกรธ เราก็อาจพูดจาไม่ดี เมื่อเรารู้สึกเศร้า เราก็อาจร้องไห้
ความสำคัญของอายตนะ
อายตนะมีความสำคัญต่อชีวิตของเราเป็นอย่างมาก เพราะเป็นตัวกำหนดความคิดและความรู้สึกของเรา ซึ่งส่งผลต่อพฤติกรรมของเรา
ความคิดและความรู้สึกของเราจะเกิดขึ้นได้จากการรับอารมณ์จากอายตนะภายนอกและภายใน เมื่อเราได้รับอารมณ์ต่างๆ เราก็จะรู้สึกและคิดไปตามอารมณ์นั้นๆ เช่น หากเรามองเห็นรูปที่สวยงาม เราก็จะรู้สึกมีความสุข หากเราได้ยินเสียงที่ไพเราะ เราก็จะรู้สึกสบายใจ เป็นต้น
พฤติกรรมของเราก็เช่นกัน พฤติกรรมของเราจะเกิดขึ้นได้จากความคิดและความรู้สึกของเรา เมื่อเราคิดและรู้สึกอย่างไร เราก็จะแสดงพฤติกรรมออกมาอย่างนั้น เช่น หากเรารู้สึกโกรธ เราก็อาจแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวออกมา เป็นต้น
ดังนั้น การเข้าใจอายตนะจึงมีความสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราเข้าใจตัวตนของตัวเองและโลกรอบตัวเรามากขึ้น และช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขและสร้างสรรค์
การฝึกฝนอายตนะ
การฝึกฝนอายตนะสามารถทำได้หลายวิธี หนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดคือการทำสมาธิ การทำสมาธิช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบัน รู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เราสามารถพิจารณาอารมณ์ได้อย่างถูกต้อง และตัดสินอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม นำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างมีปัญญาและสันติ
นอกจากการทำสมาธิแล้ว ยังมีวิธีฝึกฝนอายตนะอื่นๆ อีกมากมาย เช่น
- การฝึกสติในการรับรู้อารมณ์
- การฝึกควบคุมอารมณ์
- การฝึกพิจารณาอารมณ์
- การฝึกปล่อยวางอารมณ์
การฝึกฝนอายตนะนั้นต้องอาศัยความอดทนและการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ หากเรารู้จักฝึกฝนอายตนะให้เจริญขึ้น เราก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีสติรู้เท่าทันอารมณ์ ไม่ตกเป็นทาสของอารมณ์ นำไปสู่การใช้ชีวิตอย่างมีปัญญาและสันติ
คำถามชวนคิด
- คุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราถึงรู้สึกมีความสุขเมื่อได้มองเห็นสิ่งสวยงาม
- หรือ ทำไมเราถึงรู้สึกเศร้าเมื่อได้ฟังเสียงเพลงเศร้าๆ
- หรือ ทำไมเราถึงรู้สึกหิวเมื่อได้กลิ่นอาหารหอมๆ
คำตอบ: ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะ อายตนะ นั่นเอง
บทสรุป
อายตนะ เป็นสิ่งสำคัญที่เราสามารถควบคุมได้ หากเราสามารถฝึกฝนอายตนะให้บริสุทธิ์ได้ เราก็จะสามารถควบคุมความคิดและอารมณ์ของเราได้ดีขึ้น และดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขและสร้างสรรค์
การฝึกฝนอายตนะด้วยสมาธิและปัญญาเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้เราควบคุมความคิดและอารมณ์ของเราได้ดีขึ้น และดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุขและสร้างสรรค์
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล
- พจนานุกรมพุทธศาสตร์ฉบับประมวลธรรม ราชบัณฑิตยสถาน, พิมพ์ครั้งที่ 12, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2546, หน้า 23.
- คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะ เล่ม 2, พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), แปลและเรียบเรียง, กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2553, หน้า 137-141.
- คัมภีร์วิสุทธิมรรค ภาค 1, พระธรรมโกศาจารย์ (อาจ อาสภมหาเถร), แปลและเรียบเรียง, กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์สัทธัมมโชติกะ, 2537, หน้า 35-41.
- คู่มือปฏิบัติสมาธิเบื้องต้น พระไพศาล วิสาโล, เขียน, กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ, 2559, หน้า 61-63.
- บทความวิชาการเรื่อง “อายตนะกับการพัฒนาสติ” โดย พระมหาธีระ ฐิตธัมโม, วารสารพุทธศึกษา ปีที่ 14 ฉบับที่ 1 (2562), หน้า 27-42.
ร่วมแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ “อายตนะ หลักธรรมพระพุทธศาสนา”