เพลงชาติไทย เป็นบทเพลงที่แสดงถึงความเป็นชาติไทย มีการแต่งขึ้นมาจากอดีตและเปลี่ยนแปลงมาจนถึงปัจจุบันรวมกันถึง 7 เวอร์ชั่น ซึ่งเพลงชาติไทยปัจจุบันประพันธ์ขึ้นโดยพระเจนดุริยางค์ ประพันธ์ทำนอง และหลวงสารานุประพันธ์ ประพันธ์คำร้อง มีเนื้อหาเกี่ยวกับการรักชาติ และปลูกฝังให้คนไทยรักชาติ
เพลงชาติไทยฉบับปัจจุบันมีเนื้อเพลงดังนี้
เนื้อร้องเพลงชาติไทย
เนื้อร้อง
เนื้อร้อง : หลวงสารานุแระพันธ์
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ
ผไทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบ
แต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัยชโย
ทำนอง : พระเจนดุริยางค์
คอร์ดเพลงชาติไทย
ทำไมต้องยืนตรงเคารพเพลงชาติไทย
หากคุณอาศัยอยู่ในประเทศไทย และได้ทำกิจกรรมหรือเข้าร่วมกิจกรรมในสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น โรงเรียน หรือสถานที่ราชการ คุณคงจะเคยได้ยินประโยคสุดคลาสสิคนี้ทุกวันในเวลา 8 นาฬิกา และ 18นาฬิกา ก่อนบรรเลงเพลงชาติไทยวันละสองรอบอย่างแน่นอน
“ธงชาติและเพลงชาติไทย เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นไทย เราจงร่วมใจยืนตรงเคารพธงชาติ ด้วยความภาคภูมิใจในเอกราช และความเสียสละของบรรพบุรุษไทย”
เสียงของประพันธ์ หิรัญพฤกษ์
การยืนตรงเคารพเพลงชาติไทยเป็นการแสดงความเคารพต่อประเทศชาติและบรรพบุรุษที่หลั่งเลือดเนื้อเพื่อรักษาแผ่นดินไทยมาจนถึงยุคนี้ เป็นการแสดงความภาคภูมิใจในความเป็นไทย และเป็นการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรมไทย นอกจากนี้ การยืนตรงเคารพเพลงชาติไทยยังเป็นการแสดงความเคารพต่อผู้อื่นที่ยืนตรงเคารพเพลงชาติไทยด้วย
ประวัติของเพลงชาติไทย
เพลงชาติไทย บทเพลงแห่งความเป็นชาติ
เพลงชาติไทยเป็นบทเพลงที่แสดงถึงความเป็นชาติไทย ประพันธ์ขึ้นโดยพระเจนดุริยางค์ ประพันธ์ทำนอง และขุนวิจิตรมาตรา ประพันธ์คำร้อง เพลงชาติไทยฉบับแรกใช้ทำนองเดียวกันกับเพลงสรรเสริญพระบารมี แต่มีเนื้อร้องที่ต่างออกไป โดยขุนวิจิตรมาตราประพันธ์เนื้อร้องขึ้นในปี พ.ศ. 2475 หลังจากการปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475
ต่อมาในปี พ.ศ. 2482 รัฐบาลได้ประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย ทำให้เนื้อร้องเพลงชาติฉบับแรกไม่เหมาะสม จึงได้มีการประกวดเนื้อร้องเพลงชาติใหม่ โดยได้รับรางวัลชนะเลิศจากพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) และประกาศใช้เนื้อร้องฉบับปัจจุบันเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 เป็นต้นมา
เนื้อร้องเพลงชาติไทยฉบับปัจจุบัน กล่าวถึงความสามัคคีของคนไทย ความแข็งแกร่งของชาติไทย และความรักชาติ โดยสื่อผ่านภาพลักษณ์ของแผ่นดินไทยที่อุดมสมบูรณ์ ประชาชนที่รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า
เพลงชาติไทยเป็นบทเพลงที่มีความสำคัญต่อคนไทยทุกคน เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นชาติไทย และเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยทุกคนรักชาติและพร้อมที่จะเสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง
ความเป็นมาของเพลงชาติไทย
เพลงชาติไทยมีประวัติความเป็นมายาวนาน เริ่มต้นจากการประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมีขึ้นในช่วงปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) โดยรับอิทธิพลมาจากเพลง “God save the Queen” ซึ่งเป็นเพลงชาติของอังกฤษ ต่อมาเพลงสรรเสริญพระบารมีได้ถูกนำมาประพันธ์คำร้องขึ้นโดยขุนวิจิตรมาตรา ในปี พ.ศ. 2475 เพื่อให้เป็นเพลงชาติไทย
อย่างไรก็ตาม เนื้อร้องเพลงชาติฉบับแรกนี้ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้น เนื่องจากประเทศไทยเพิ่งเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย จึงได้มีการประกวดเนื้อร้องเพลงชาติใหม่ในปี พ.ศ. 2482 โดยได้รับรางวัลชนะเลิศจากพันเอกหลวงสารานุประพันธ์ และประกาศใช้เนื้อร้องฉบับปัจจุบันเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 เป็นต้นมา
เนื้อร้องเพลงชาติไทยฉบับปัจจุบันกล่าวถึงความสามัคคีของคนไทย ความแข็งแกร่งของชาติไทย และความรักชาติ โดยสื่อผ่านภาพลักษณ์ของแผ่นดินไทยที่อุดมสมบูรณ์ ประชาชนที่รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด และความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้า
เพลงชาติไทยเป็นบทเพลงที่มีความสำคัญต่อคนไทยทุกคน เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นชาติไทย และเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยทุกคนรักชาติและพร้อมที่จะเสียสละเพื่อชาติบ้านเมือง
ประวัติเพลงชาติไทย 7 ฉบับ
เพลงชาติไทยเป็นเพลงที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย เป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคีและความรักชาติของคนไทยทุกคน เพลงชาติไทยมีประวัติความเป็นมายาวนานและมีการเปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง จนถึงปัจจุบันมีเพลงชาติไทยทั้งหมด 7 ฉบับ ดังนี้
ฉบับที่ 1: เพลงชาติสยาม (2475)
เพลงชาติสยามเป็นเพลงชาติเวอร์ชันแรกของประเทศไทย ประพันธ์เนื้อร้องโดย พระยาไชยวิชิต (หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช) และประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2475 ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
เพลงชาติสยามมีเนื้อหาที่สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในขณะนั้น โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของเอกราชและความสามัคคีของชาติ เนื้อหาของเพลงมีดังนี้
แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง
ไทยเข้าครอง ตั้งประเทศ เขตต์แดนสง่า
สืบเผ่าไทยดึกดำบรรพ์ โบราณลงมา
รวมรักษาสามัคคี ทวีไทยบางสมัย ศัตรู จู่โจมตี
ไทยพลี ชีวิตร่วม รวมรุกไล่
เข้าลุยเลือดหมายมุ่งผดุงไผท
สยามสมัย โบราณรอด ตลอดมาอันดินสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย
ประพันธ์เนื้อร้องโดย พระยาไชยวิชิต (หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช)
น้ำรินไหล คือว่าเลือด ของเชื้อข้า
เอกราชคือ เจดีย์ ที่เราบูชา
เราจะสามัคคี ร่วมมีใจ รักษาชาติ
ประเทศ เอกราชจงดี
ใครย่ำยี เราจะไม่ละให้
เอาเลือดล้างให้สิ้น แผ่นดินไทย
สถาปนา สยามให้ เทิดไทย ไชโย
ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร)
เพลงชาติสยามเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากประชาชนชาวไทยในขณะนั้น เนื่องจากเนื้อหาของเพลงสอดคล้องกับความรู้สึกของคนไทยที่เพิ่งได้รับเอกราชจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพลงชาติสยามจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักชาติและสามัคคีของคนไทยทุกคน
อย่างไรก็ตาม เพลงชาติสยามก็มีข้อวิจารณ์อยู่บ้าง เนื่องจากเนื้อหาของเพลงมีบางส่วนที่ล้าสมัย เช่น การกล่าวถึงเชื้อชาติไทยว่าเป็นเชื้อชาติที่บริสุทธิ์ เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการประกาศใช้เพลงชาติไทยฉบับใหม่ในปี พ.ศ. 2482 ซึ่งเนื้อร้องของเพลงชาติไทยฉบับใหม่นั้นมีความทันสมัยและสะท้อนถึงความรู้สึกของคนไทยในยุคปัจจุบันมากขึ้น
ฉบับที่ 2: เพลงชาติมหาชัย (2475)
เพลงชาติมหาชัยเป็นเพลงชาติเวอร์ชันที่ 2 ของประเทศไทย ประพันธ์เนื้อร้องโดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา) และประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2475 เพียง 7 วัน หลังจากมีการประกาศใช้เพลงชาติสยาม (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) เป็นเพลงชาติของประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
สาเหตุที่เพลงชาติมหาชัยถูกใช้เพียงชั่วคราวนั้น เนื่องมาจากเนื้อร้องของเพลงชาติมหาชัยมีความแตกต่างจากเพลงชาติสยามอย่างมาก โดยเพลงชาติมหาชัยมีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงความสามัคคีและความจงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์ ในขณะที่เพลงชาติสยามมีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของเอกราชและความสามัคคีของชาติ
เนื้อหาของเพลงชาติมหาชัยมีดังนี้
ขอชัยมงคล โปรดจงอยู่ดำรง
คงยิ่งใหญ่ในแผ่นดิน
ภูมิพื้นถิ่น ภูมิพลัง
ไทยทุกเหล่า เผ่าสยามชยะสิทธิ์ สิทธิ์ชัย ทุกยาม
ประพันธ์เนื้อร้องโดย เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)
ชยะศักดิ์สยามยืนยง
สิ่งประสงค์จงเจริญ
ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร)
เพลงชาติมหาชัยเป็นเพลงที่ได้รับความนิยมจากประชาชนชาวไทยในขณะนั้น เนื่องจากเนื้อหาของเพลงสะท้อนถึงความรู้สึกของคนไทยที่เพิ่งได้รับเอกราชจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อย่างไรก็ตาม คณะราษฎรเห็นว่าเนื้อร้องของเพลงชาติมหาชัยขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตย จึงมีมติให้ใช้เพลงชาติสยามเป็นเพลงชาติของประเทศไทยต่อไป
เพลงชาติมหาชัยจึงกลายเป็นเพลงชาติที่มีอายุสั้นที่สุดของประเทศไทย โดยมีอายุเพียง 7 วันเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพลงชาติมหาชัยยังคงเป็นเพลงที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เนื่องจากเป็นเพลงชาติเวอร์ชันที่ 2 ของประเทศไทย และสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงนั้น
ฉบับที่ 3: เพลงชาติไทย ฉบับหลวงสารานุประพันธ์ (2482)
เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) เป็นเพลงชาติเวอร์ชันที่ 3 ของประเทศไทย ประพันธ์เนื้อร้องโดย พันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) และประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2482 สืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก สยาม มาเป็น ไทย ในปีเดียวกันนั้น
สาเหตุที่ได้มีการประกาศใช้เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) เป็นเพลงชาติของประเทศไทย เนื่องจากเพลงชาติสยาม (ฉบับหลวงไชยวิชิต) มีเนื้อหาที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น โดยเพลงชาติสยาม (ฉบับหลวงไชยวิชิต) มีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของเอกราชและความสามัคคีของชาติ แต่ไม่ได้กล่าวถึงชื่อประเทศอย่างชัดเจน
เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) มีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของความรักชาติและความสามัคคีของคนไทย โดยมีการกล่าวถึงชื่อประเทศอย่างชัดเจน เนื้อหาของเพลงมีดังนี้
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ ประชาราษฎร์รวมกัน
เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโยธงไตรรงค์ ธงไทย โบกสะบัดไสว
ประชาไทยสามัคคี สมัครสมาน
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นพลังของไทยเอกราช ไทยเหนียวแน่น ยั่งยืน
ประพันธ์เนื้อร้องโดย พันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์)
ประชาไทยทุกหมู่เหล่า ล้วนร่วมใจ
ภักดี รักษา ชาติไทย ไทยเจริญ
ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร)
เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมจากประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อหาของเพลงมีความทันสมัยและสะท้อนถึงความรู้สึกของคนไทยในยุคปัจจุบัน เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) จึงกลายเป็นเพลงชาติที่ยืนยงมาจนถึงปัจจุบัน
เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2534 เพื่อเป็นการเชิดชูคุณค่าของเพลงชาติไทยในฐานะที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความรักชาติและความสามัคคีของคนไทยทุกคน
ฉบับที่ 4: เพลงชาติไทย ฉบับหลวงธำรงนารถวรเดช (2483)
เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงธำรงนารถวรเดช) เป็นเพลงชาติเวอร์ชันที่ 4 ของประเทศไทย ประพันธ์เนื้อร้องโดย หลวงธำรงนารถวรเดช (หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช) และประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483
สาเหตุที่ได้มีการประกาศใช้เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงธำรงนารถวรเดช) เป็นเพลงชาติของประเทศไทย เนื่องจากเพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) มีเนื้อหาที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น โดยเพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) มีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของความรักชาติและความสามัคคีของคนไทย แต่ไม่ได้กล่าวถึงความสำคัญของศาสนา
เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงธำรงนารถวรเดช) มีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของความรักชาติและความสามัคคีของคนไทย โดยมีการกล่าวถึงความสำคัญของศาสนาอย่างชัดเจน เนื้อหาของเพลงมีดังนี้
ไทยชาติหนึ่ง อยู่มาช้านาน
รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
สามัคคีกัน ไทยไม่แพ้ใครชาวไทย จงรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ประพันธ์เนื้อร้องโดย หลวงธำรงนารถวรเดช (หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช)
สามัคคีกัน ไทยเจริญ
ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร)
เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงธำรงนารถวรเดช) เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมจากประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อหาของเพลงมีความทันสมัยและสะท้อนถึงความรู้สึกของคนไทยในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงธำรงนารถวรเดช) กลับมีอายุการใช้งานเพียงสั้นๆ เพียง 10 เดือนเท่านั้น
สาเหตุที่เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงธำรงนารถวรเดช) ถูกยกเลิกนั้น เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในปี พ.ศ. 2484 คณะราษฎรกลุ่มหนึ่งนำโดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ทำการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลของหลวงธำรงนารถวรเดช เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงธำรงนารถวรเดช) จึงถูกยกเลิกไปด้วย เนื่องจากเพลงชาติไทย (ฉบับหลวงธำรงนารถวรเดช) มีเนื้อหาที่แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นการขัดแย้งกับอุดมการณ์ของคณะราษฎรกลุ่มใหม่ที่ปกครองประเทศในขณะนั้น
เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงธำรงนารถวรเดช) จึงกลายเป็นเพลงชาติที่หายไปจากประวัติศาสตร์ของประเทศไทย ในปัจจุบัน เพลงชาติไทย (ฉบับหลวงธำรงนารถวรเดช) ยังคงถูกเผยแพร่และศึกษาอยู่บ้าง เนื่องจากเป็นเพลงชาติเวอร์ชันที่ 4 ของประเทศไทย และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์
ฉบับที่ 5: เพลงชาติไทย ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (2505)
เพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) เป็นเพลงชาติเวอร์ชันที่ 5 ของประเทศไทย ประพันธ์เนื้อร้องโดย คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2505
สาเหตุที่ได้มีการประกาศใช้เพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) เป็นเพลงชาติของประเทศไทย เนื่องจากเพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) มีเนื้อหาที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น โดยเพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) มีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของความรักชาติและความสามัคคีของคนไทย แต่ไม่ได้กล่าวถึงความสำคัญของศาสนาและพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน
เพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) มีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของความรักชาติและความสามัคคีของคนไทย โดยมีการกล่าวถึงความสำคัญของศาสนาและพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน เนื้อหาของเพลงมีดังนี้
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ ประชาราษฎร์รวมกัน
เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโยธงไตรรงค์ ธงไทย โบกสะบัดไสว
ประชาไทยสามัคคี สมัครสมาน
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นพลังของไทยเอกราช ไทยเหนียวแน่น ยั่งยืน
ประพันธ์เนื้อร้องโดย คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
ประชาไทยทุกหมู่เหล่า ล้วนร่วมใจ
ภักดี รักษา ชาติไทย ไทยเจริญ
ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร)
เพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) มีเนื้อหาที่คล้ายคลึงกับเพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์) เป็นอย่างมาก แต่มีการเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับศาสนาและพระมหากษัตริย์อย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการประกาศใช้เพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) เป็นเพลงชาติของประเทศไทยแทนเพลงชาติไทย (ฉบับหลวงสารานุประพันธ์)
เพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) มีอายุการใช้งานนานถึง 25 ปี จนกระทั่งได้มีการประกาศใช้เพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ) เป็นเพลงชาติของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2534
ฉบับที่ 6: เพลงชาติไทย ฉบับกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ (2510)
เพลงชาติไทย (ฉบับกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ) เป็นเพลงชาติเวอร์ชันที่ 6 ของประเทศไทย ประพันธ์เนื้อร้องโดย คณะกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ และประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2510
สาเหตุที่ได้มีการประกาศใช้เพลงชาติไทย (ฉบับกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ) เป็นเพลงชาติของประเทศไทย เนื่องจากเพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) มีเนื้อหาที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น โดยเพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) มีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของความรักชาติและความสามัคคีของคนไทย แต่ไม่ได้กล่าวถึงความสำคัญของความเป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน
เพลงชาติไทย (ฉบับกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ) มีเนื้อหาที่เน้นย้ำถึงความสำคัญของความรักชาติและความสามัคคีของคนไทย โดยมีการกล่าวถึงความสำคัญของความเป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน เนื้อหาของเพลงมีดังนี้
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เป็นประชารัฐ ประชาราษฎร์รวมกัน
เถลิงประเทศชาติไทยทวี มีชัย ชโยธงไตรรงค์ ธงไทย โบกสะบัดไสว
ประชาไทยสามัคคี สมัครสมาน
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นพลังของไทยเอกราช ยั่งยืน ตลอดไป
ประพันธ์เนื้อร้องโดย คณะกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ
ประชาไทยทุกหมู่เหล่า ล้วนร่วมใจ
สมัครสมาน สามัคคี ไทยเจริญ
ประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร)
เพลงชาติไทย (ฉบับกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ) มีเนื้อหาที่คล้ายคลึงกับเพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) เป็นอย่างมาก แต่มีการเพิ่มเติมเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นประชาธิปไตยอย่างชัดเจน ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการประกาศใช้เพลงชาติไทย (ฉบับกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ) เป็นเพลงชาติของประเทศไทยแทนเพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ)
เพลงชาติไทย (ฉบับกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ) มีอายุการใช้งานมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งเป็นเพลงชาติเวอร์ชันที่ 7 และเวอร์ชันสุดท้ายของประเทศไทย ด้วยเหตุนี้ จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “เพลงชาติไทย (ฉบับปัจจุบัน)”
เพลงชาติไทย (ฉบับกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ) เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมจากประชาชนชาวไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากเนื้อหาของเพลงมีความทันสมัยและสะท้อนถึงความรู้สึกของคนไทยในยุคปัจจุบัน เพลงชาติไทย (ฉบับกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ) จึงกลายเป็นเพลงชาติที่ยืนยงมาจนถึงปัจจุบัน
ฉบับที่ 7: เพลงชาติไทย ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ หรือฉบับปัจจุบัน (2534)
เพลงชาติไทย (ฉบับคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ) เป็นเพลงชาติเวอร์ชันที่ 7 และเวอร์ชันปัจจุบันของประเทศไทย ประพันธ์เนื้อร้องโดย คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ และประพันธ์ทำนองโดย พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) ประกาศใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2534
เพลงชาติไทยฉบับที่ 7 หรือฉบับปัจจุบัน มีเนื้อร้องดังนี้
ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย
เนื้อร้อง : หลวงสารานุแระพันธ์
เป็นประชารัฐ
ผไทของไทยทุกส่วน
อยู่ดำรงคงไว้ได้ทั้งมวล
ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี
ไทยนี้รักสงบ
แต่ถึงรบไม่ขลาด
เอกราชจะไม่ให้ใครข่มขี่
สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี
เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัยชโย
ทำนอง : พระเจนดุริยางค์
จากประวัติความเป็นมาของเพลงชาติไทย จะเห็นได้ว่าเพลงชาติไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปหลายครั้ง ทั้งในเนื้อร้องและทำนอง สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงนั้นมีหลายประการ เช่น การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม อย่างไรก็ตาม เพลงชาติไทยทุกเวอร์ชันล้วนมีคุณค่าและมีความสำคัญต่อประเทศไทยทั้งสิ้น
จุดเด่นของเพลงชาติไทย
เพลงชาติไทยมีจุดเด่นดังต่อไปนี้
- เป็นเพลงที่แสดงถึงความเป็นชาติไทยอย่างแท้จริง ประพันธ์ขึ้นโดยคนไทย เพื่อคนไทย และสำหรับคนไทยทุกคน
- มีเนื้อหาที่ไพเราะและสื่อความหมายได้ชัดเจน
- มีทำนองที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง
บทสรุป
เพลงชาติไทยเป็นบทเพลงที่ควรได้รับการเชิดชูและแสดงออกถึงความภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทยอย่างเหมาะสม เพลงชาติไทยจึงเป็นบทเพลงที่ควรได้รับการอนุรักษ์และสืบทอดต่อไป เพื่อให้เยาวชนไทยรุ่นหลังได้ซึมซับความเป็นชาติไทยและพร้อมที่จะพัฒนาชาติไทยให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
ขอบคุณแหล่งข้อมูล:
ร่วมแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ “เพลงชาติไทย ประวัติเพลงชาติไทย 7 ฉบับ”