เรียงความ
เรียงความ คืองานเขียนร้อยแก้วชนิดหนึ่ง ที่ผู้เขียนมุ่งถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้ ความคิด และทัศนคติในเรื่องใดเรื่องหนึ่งผ่านงานเขียน โดยอาศัยถ้อยคำสำนวนอันสละสลวยและเรียบเรียงอย่างมีลำดับขั้น เพื่อสื่อสารกับผู้รับสารให้เข้าใจได้ถูกต้องโดยง่ายดาย เรียงความที่ดีประกอบด้วยคำนำ เนื้อเรื่อง และบทสรุป
เรียงความที่ดีนั้นควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
- มีจุดมุ่งหมายชัดเจน ผู้เขียนควรกำหนดประเด็นหลักที่ต้องการสื่อสารกับผู้อ่านตั้งแต่เริ่มต้น
- มีเนื้อหาสาระครบถ้วน ผู้เขียนควรรวบรวมข้อมูลและเรียบเรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบ
- ใช้ภาษาที่ถูกต้องเหมาะสม ผู้เขียนควรใช้ภาษาที่ถูกต้องตามหลักภาษาไทยและเหมาะสมกับระดับภาษาของผู้อ่าน
- มีลำดับความคิดที่ชัดเจน ผู้เขียนควรจัดลำดับความคิดอย่างเป็นระเบียบ เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจเนื้อหาได้อย่างง่ายดาย
โครงสร้างเรียงความ
เรียงความเป็นงานเขียนร้อยแก้วที่ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ทัศนคติของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยเรียงร้อยอย่างมีเหตุผลและลำดับขั้นตอน เรียงความที่ดีควรมีโครงสร้างที่ชัดเจน ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ
1. คำนำ
เป็นส่วนที่เปิดประเด็นและดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน ทำหน้าที่แนะนำเรื่องที่จะเขียนและบอกให้ผู้อ่านทราบถึงประเด็นหลักหรือจุดประสงค์ของการเขียน ด้วยเนื้อหาที่สั้นและกระชับ และสามารถตัดสินใจได้โดยเร็วว่าสนใจจะอ่านเรียงความต่อไปจนจบไหม
2. เนื้อเรื่อง
เป็นส่วนที่ขยายความประเด็นหลักหรือจุดประสงค์ของการเขียน โดยมีการยกตัวอย่าง การอธิบาย การอ้างอิง หรือใช้โวหารต่างๆ ประกอบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจประเด็นที่ต้องการจะสื่อ รวมรายละเอียดทั้งหมดของเรียงความเอาไว้
3. บทสรุป
เป็นส่วนที่สรุปประเด็นหลักหรือจุดประสงค์ของการเขียนอีกครั้งหนึ่ง โดยอาจมีการเน้นย้ำหรือให้ข้อคิดเพิ่มเติมเพื่อให้ผู้อ่านสามารถคิดต่อ หรือศึกษาต่อเพิ่มเติมในประเด็นต่อๆ ไปได้
การเขียนคำนำ
คำนำควรเขียนให้กระชับ ชัดเจน และน่าสนใจ ไม่ควรยืดยาวหรือซ้ำซ้อนกับบทสรุป ผู้เขียนสามารถเลือก วิธีการเขียนคำนำ ได้หลากหลายวิธี เช่น
- เริ่มต้นด้วยคำถาม
- เล่าเรื่องหรือยกตัวอย่าง
- ยกคำคมหรือสุภาษิต
- กล่าวถึงประโยชน์หรือข้อดีของเรื่อง
- กล่าวถึงปัญหาหรืออุปสรรค
การเขียนเนื้อเรื่อง
ส่วนเนื้อเรื่องควรมีการแบ่งย่อหน้าอย่างเหมาะสม เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจประเด็นต่างๆ ได้ง่ายขึ้น ในแต่ละย่อหน้าควรมีใจความสำคัญเพียงหนึ่งเรื่องเท่านั้น ผู้เขียนควรใช้ภาษาที่ชัดเจน กระชับ และตรงประเด็น หลีกเลี่ยงการใช้คำฟุ่มเฟือยหรือสำนวนภาษาที่เข้าใจยาก
การเขียนบทสรุป
ส่วนสรุปควรเป็นการสรุปประเด็นหลักหรือจุดประสงค์ของการเขียนอีกครั้งหนึ่ง โดยอาจมีการเน้นย้ำหรือให้ข้อคิดเพิ่มเติม ผู้เขียนควรหลีกเลี่ยงการเขียนสรุปที่ซ้ำกับส่วนนำ
ตัวอย่างการเขียนเรียงความ
หัวข้อ: ประโยชน์ของการฝึกฝนภาษาอังกฤษ
คำนำ
ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากลที่ใช้ในการสื่อสารทั่วโลก การการฝึกฝนภาษาอังกฤษจึงมีประโยชน์มากมาย ดังนี้
เนื้อเรื่อง
- ประโยชน์ด้านการศึกษา: ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลักที่ใช้ในการศึกษาระดับอุดมศึกษาและระดับสูงทั่วโลก การมีความรู้ภาษาอังกฤษจึงช่วยให้สามารถเข้าถึงการศึกษาและโอกาสในการทำงานในต่างประเทศได้
- ประโยชน์ด้านอาชีพ: ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้ในการสื่อสารในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ การมีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีจึงช่วยให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยว: ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่พูดกันแพร่หลายในหลายประเทศทั่วโลก การมีความรู้ภาษาอังกฤษจึงช่วยให้สามารถสื่อสารและท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกสบาย
บทสรุป
การฝึกฝนภาษาอังกฤษเป็นประจำจึงช่วยให้สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จในชีวิตทั้งในด้านการศึกษา อาชีพ และการท่องเที่ยว
ประโยชน์และความสำคัญของเรียงความ
เรียงความ มิใช่เพียงเครื่องมือส่งเสริมทักษะการเขียน หากยังเป็นกระบวนการพัฒนาทางปัญญาและเชิงบุคลิกภาพ อันทรงคุณค่าต่อการเรียนรู้และการดำเนินชีวิต ดังนี้
1. ฝึกฝนทักษะการคิดวิเคราะห์
ารเรียงความกระตุ้นการคิดอย่างเป็นระบบ เชื่อมโยงข้อมูล ประเมินมุมมอง รวบยอดเป็นข้อสรุป ช่วยพัฒนาตรรกะและความรอบรู้
2. เสริมสร้างทักษะการสื่อสาร
การเรียงความฝึกฝนการถ่ายทอดความคิดเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดเจน โปร่งใส เลือกใช้ภาษาเหมาะสม บ่งบอกถึงความชัดเจนในความคิดและการสื่อสาร
3. บ่มเพาะนิสัยรักการอ่านและค้นคว้า
การเรียงความมักอ้างอิงข้อมูล ผลงานวิจัย ข้อเท็จจริง กระตุ้นการค้นคว้า อ่านวิเคราะห์ ช่วยให้นักเรียนใฝ่หาความรู้ เสริมสร้างนิสัยช่างสังเกต
4. ปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม
เนื้อหาเรียงความอาจครอบคลุมประเด็นคุณธรรม จริยธรรม ช่วยนักเรียนไตร่ตรอง ตัดสินใจ พัฒนาจิตสำนึก และส่งเสริมการเป็นพลเมืองที่ดี
5. เสริมสร้างความมั่นใจในตนเอง
การเขียนเรียงความที่ได้รับคำชม ส่งผลต่อความมั่นใจในตนเอง ภาษา วาทศิลป์ เสริมสร้างบุคลิกภาพที่กล้าคิด กล้าแสดงออก
เรียงความมิใช่เพียงการประเมินผลการเรียน หากเป็นเครื่องมือพัฒนาบุคลิกภาพ ทักษะทางปัญญา การสื่อสาร และคุณธรรม ส่งผลต่อการเรียนรู้ การทำงาน และการดำเนินชีวิตในอนาคต
การเขียนเรียงความมีประโยชน์มากมาย ดังนี้
- ฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ ผู้เขียนต้องคิดวิเคราะห์ข้อมูลและประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาเขียนเรียงความ
- ฝึกทักษะการเขียน ผู้เขียนต้องฝึกฝนการใช้ภาษาและการจัดลำดับความคิดอย่างเป็นระบบ
- ฝึกทักษะการค้นคว้าหาข้อมูล ผู้เขียนต้องค้นคว้าหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อนำมาเขียนเรียงความ
การเขียนเรียงความเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับการสื่อสารและการเรียนรู้ในชีวิตประจำวัน นักเรียนจึงควรฝึกฝนการเขียนเรียงความอย่างสม่ำเสมอ
ประเภทของเรียงความ
เรียงความสามารถแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้
- เรียงความพรรณา เป็นการเล่าเรื่องราว เหตุการณ์ หรือสถานที่ต่างๆ
- เรียงความพรรณนา เป็นการบรรยายสิ่งต่างๆ ให้ปรากฏแก่ผู้อ่านด้วยภาพพจน์
- เรียงความแสดงความคิดเห็น เป็นการเสนอความคิดเห็นของผู้เขียนเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
- เรียงความวิเคราะห์วิจารณ์ เป็นการวิพากษ์วิจารณ์สิ่งต่างๆ อย่างมีเหตุผล
การเขียนเรียงความแต่ละประเภทนั้น มีลักษณะเฉพาะแตกต่างกันไป ผู้เขียนควรศึกษาและเลือกประเภทที่เหมาะสมกับเนื้อหาที่ต้องการสื่อสาร
เทคนิคการเขียนเรียงความ
ในการเขียนเรียงความ ผู้เขียนควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
- กำหนดประเด็นหลัก ผู้เขียนควรกำหนดประเด็นหลักที่ต้องการสื่อสารกับผู้อ่านตั้งแต่เริ่มต้น
- รวบรวมข้อมูล ผู้เขียนควรรวบรวมข้อมูลและหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนประเด็นหลัก
- วางแผนการเขียน ผู้เขียนควรวางแผนการเขียนเรียงความอย่างเป็นระบบ
- เขียนเรียงความ ผู้เขียนควรเขียนเรียงความตามแผนการเขียนที่ได้วางไว้
- ตรวจทานแก้ไข ผู้เขียนควรตรวจทานเรียงความอย่างละเอียดเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด
การปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เขียนเขียนเรียงความได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ลักษณะของเรียงความที่ดี
เรียงความที่ดีควรมีองค์ประกอบครบทั้ง 3 ส่วน คือ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากนี้ เรียงความที่ดีควรมีลักษณะดังนี้อีกด้วย
1. เอกภาพ
หมายถึง เรียงความควรมีแนวคิดหรือจุดมุ่งหมายเดียวตลอดทั้งเรื่อง ไม่ควรเขียนนอกเรื่องหรือวกวนไปมา
2. สัมพันธภาพ
หมายถึง เรียงความควรมีเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันตลอดทั้งเรื่อง โดยจะต้องมีการวางโครงเรื่องที่ดี จัดลำดับย่อหน้าอย่างมีระบบระเบียบ เรียบเรียงด้วยคำเชื่อมที่เหมาะสม
3. สารัตถภาพ
หมายถึง เรียงความควรมีเนื้อหาสาระครบถ้วนและชัดเจน โดยในแต่ละย่อหน้าควรมีประโยคสำคัญเพียงหนึ่งเรื่องเท่านั้น ประโยคสำคัญควรชัดเจน กระชับ และตรงประเด็น หลีกเลี่ยงการใช้คำฟุ่มเฟือยหรือสำนวนภาษาที่เข้าใจยาก
แนวทางการเขียนเรียงความที่ดี
ในการเขียนเรียงความที่ดี ผู้เขียนควรคำนึงถึงลักษณะของเรียงความที่ดีดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น นอกจากนี้ ผู้เขียนควรปฏิบัติตามแนวทางการเขียนเรียงความที่ดี ดังนี้
- เลือกหัวข้อที่สนใจและมีความรู้พื้นฐาน
- ค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน
- วางโครงเรื่องอย่างรอบคอบ
- เขียนเรียงความอย่างรอบคอบและถูกต้อง
- ตรวจทานเรียงความอย่างละเอียด
- ตัวอย่างเรียงความที่ดี
ข้อควรระวังในการเขียนเรียงความ
- เรียงความที่ดีควรมีเนื้อหาที่ถูกต้อง ครบถ้วน และชัดเจน
- เรียงความควรมีโครงสร้างที่ชัดเจน แบ่งส่วนนำ เนื้อเรื่อง และสรุปอย่างเหมาะสม
- เรียงความควรใช้ภาษาที่สุภาพ ถูกต้องตามหลักภาษาไทย
- เรียงความควรหลีกเลี่ยงการใช้คำฟุ่มเฟือย สำนวนภาษาที่เข้าใจยาก หรือข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์
บทสรุป
เรียงความที่ดีควรมีองค์ประกอบครบทั้ง 3 ส่วน คือ คำนำ เนื้อเรื่อง และสรุป นอกจากนี้ เรียงความที่ดีควรมีลักษณะเอกภาพ สัมพันธภาพ และสารัตถภาพ ผู้เขียนควรปฏิบัติตามแนวทางการเขียนเรียงความที่ดี เพื่อให้สามารถเขียนเรียงความที่มีคุณภาพได้
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล
- การเขียนเรียงความ โดย ประภัสสร จิรปรีชานนท์ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง (2559)
- การเขียนเรียงความ โดย บุญเลิศ ไพรินทร์ สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2561)
- เทคนิคการเขียนเรียงความ โดย ศิริพร สุทธากุล สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2562)
- เทคนิคการเขียนเรียงความให้ได้คะแนนดี โดย ศิริพร สุทธากุล วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (2561)
- แนวทางการเขียนเรียงความภาษาไทย โดย ประภัสสร จิรปรีชานนท์ วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยรามคำแหง (2562)
- ทักษะการเขียนเรียงความ โดย บุญเลิศ ไพรินทร์ วารสารวิชาการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2563)
ร่วมแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ “การเขียนเรียงความ สำหรับผู้เริ่มต้น”