อยากสำเร็จ แต่ขี้เกียจ จะทำยังไงดี?
ความขี้เกียจ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ขัดขวางความสำเร็จของผู้คนมากมาย หลายคนมักรู้สึกขี้เกียจที่จะทำอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเรื่องงาน การเรียน หรือเรื่องส่วนตัว ส่งผลให้เกิดความล่าช้า ผิดพลาด และอาจทำให้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตได้
แต่รู้หรือไม่ว่า ความขี้เกียจนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากเรารู้จักวิธีเอาชนะมัน ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำ วิธีเลิกขี้เกียจ ง่ายๆ ทำได้ด้วยตัวเอง รับรองว่าจะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
ความขี้เกียจ
ความขี้เกียจ (laziness) คือ ความไม่เต็มใจที่จะทำอะไรสักอย่าง หรือไม่เต็มใจที่จะใช้แรงกายหรือกำลังใจเพื่อทำสิ่งใดๆ ทั้งที่รู้ว่าควรทำหรือจำเป็นต้องทำ ความขี้เกียจเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน และมักเกิดขึ้นเมื่อเราเหนื่อยล้า เบื่อหน่าย หรือขาดแรงจูงใจ ความขี้เกียจสามารถก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมาย เช่น งานล่าช้า ผลงานไม่ดี ความสัมพันธ์กับผู้อื่นแย่ลง และอาจนำไปสู่ความเครียดและปัญหาสุขภาพได้
สาเหตุของความขี้เกียจ
ความขี้เกียจ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องงาน การเรียน หรือเรื่องส่วนตัว หลายคนมักรู้สึกขี้เกียจที่จะทำอะไรใหม่ๆ ส่งผลให้เกิดความล่าช้า ผิดพลาด และอาจทำให้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตได้
แต่รู้หรือไม่ว่า ความขี้เกียจนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากเรารู้จักสาเหตุของความขี้เกียจ เช่น
1. ความเหนื่อยล้า
เมื่อร่างกายอ่อนล้า สมองก็จะทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้รู้สึกไม่อยากทำอะไร
2. ความเบื่อหน่าย
เมื่อทำสิ่งเดิมๆ ซ้ำๆ ไปนานๆ ก็อาจทำให้เกิดความเบื่อหน่าย ไม่อยากทำต่อไป
3. ความกลัวความล้มเหลว
เมื่อกลัวที่จะล้มเหลว ก็อาจทำให้ไม่อยากเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆ
4. ความขาดแรงจูงใจ
เมื่อไม่เห็นประโยชน์หรือเป้าหมายของสิ่งที่ทำ ก็อาจทำให้เกิดความขี้เกียจได้
5. ทัศนคติเชิงลบ
การมีทัศนคติเชิงลบต่อสิ่งต่างๆ จะทำให้รู้สึกไม่อยากทำสิ่งนั้นๆ
6. ปัญหาสุขภาพ
ปัญหาสุขภาพ เช่น โรคซึมเศร้า หรือโรคสมาธิสั้น อาจทำให้รู้สึกขี้เกียจได้
7. สภาพแวดล้อม
สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการขี้เกียจ เช่น การอยู่ใกล้สิ่งรบกวน หรือมีเพื่อนฝูงที่ขี้เกียจ ก็อาจทำให้รู้สึกขี้เกียจได้
8. นิสัย
นิสัยขี้เกียจที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก ก็อาจทำให้รู้สึกขี้เกียจได้
ผลเสียของความขี้เกียจ
ความขี้เกียจ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องงาน การเรียน หรือเรื่องส่วนตัว หลายคนมักรู้สึกขี้เกียจที่จะทำอะไรใหม่ๆ ส่งผลให้เกิดความล่าช้า ผิดพลาด และอาจทำให้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตได้
ผลเสียของความขี้เกียจ นั้นมีมากมาย ดังนี้
- ส่งผลต่อการทำงานและการเรียน ผู้ที่ขี้เกียจมักจะทำงานหรือเรียนช้ากว่าคนอื่น ทำให้งานล่าช้า ผิดพลาด และอาจถูกตำหนิจากหัวหน้าหรืออาจารย์
- ส่งผลต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ผู้ที่ขี้เกียจมักทำตัวเหลวไหล ปล่อยปละละเลย ไม่สนใจคนรอบข้าง ทำให้คนรอบข้างรู้สึกไม่อยากคบหา
- ส่งผลต่อสุขภาพ ผู้ที่ขี้เกียจมักไม่ค่อยออกกำลังกาย ส่งผลให้น้ำหนักขึ้น เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอื่นๆ ตามมา
- ส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ ผู้ที่ขี้เกียจมักไม่ค่อยคิดอะไรใหม่ๆ ส่งผลให้ขาดความคิดสร้างสรรค์ และอาจพลาดโอกาสดีๆ ในชีวิต
หากคุณกำลังรู้สึกขี้เกียจอยู่ อย่าปล่อยให้ความขี้เกียจเข้ามาทำลายชีวิตของคุณ ลองคิดถึงผลเสียของความขี้เกียจที่อาจเกิดขึ้นกับคุณ หากไม่อยากประสบกับผลเสียเหล่านี้ ก็ควรรีบเปลี่ยนนิสัยขี้เกียจของคุณซะ
วิธีแก้ขี้เกียจ
ความขี้เกียจ เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้หลายคนไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องงาน การเรียน หรือเรื่องส่วนตัว หลายคนมักรู้สึกขี้เกียจที่จะทำอะไรใหม่ๆ ส่งผลให้เกิดความล่าช้า ผิดพลาด และอาจทำให้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตได้
แต่รู้หรือไม่ว่า ความขี้เกียจนั้น สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากเรารู้จักวิธีแก้ขี้เกียจ เช่น
1. ตั้งเป้าหมายและวางแผน
การตั้งเป้าหมายและวางแผนจะช่วยให้เห็นภาพรวมของสิ่งที่ต้องทำ ทำให้รู้สึกอยากลงมือทำมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณตั้งเป้าหมายว่าอยากลดน้ำหนัก คุณก็ควรวางแผนว่าจะทำอย่างไร จะเริ่มเมื่อไหร่ ในแต่ละวันจะทำอะไรบ้าง เป็นต้น เมื่อเรามีแผนชัดเจน เราก็จะรู้สึกมีแรงจูงใจที่จะลงมือทำมากขึ้น
2. แบ่งงานใหญ่เป็นงานเล็ก
การแบ่งงานใหญ่เป็นงานเล็กจะช่วยให้งานดูไม่ยากและน่ากลัวจนเกินไป ทำให้รู้สึกอยากลงมือทำมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณมีงานใหญ่ที่จะต้องทำ เช่น เขียนรายงาน คุณก็ควรแบ่งงานออกเป็นงานย่อยๆ เช่น หาข้อมูล เขียนโครงร่าง เขียนคำนำ เขียนเนื้อหา เป็นต้น เมื่อเราแบ่งงานออกเป็นงานย่อยๆ เราก็จะรู้สึกอยากลงมือทำมากขึ้น เพราะรู้สึกว่างานที่ต้องทำไม่ยากเกินไป
3. กำจัดสิ่งรบกวน
สิ่งรบกวนต่างๆ เช่น โทรศัพท์ ทีวี โซเชียลมีเดีย เป็นต้น มักเป็นสาเหตุที่ทำให้ขี้เกียจ จึงควรกำจัดสิ่งรบกวนเหล่านี้ออกไป ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังทำงานอยู่ ก็ควรปิดโทรศัพท์ ปิดทีวี และปิดโซเชียลมีเดีย เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านี้รบกวนสมาธิในการทำงาน
4. สร้างแรงจูงใจให้กับตัวเอง
การสร้างแรงจูงใจให้กับตัวเอง เช่น กำหนดรางวัลให้กับตัวเองเมื่อทำสำเร็จ หรือการลงโทษตัวเองเมื่อทำไม่สำเร็จ เป็นต้น จะช่วยให้มีกำลังใจที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ตัวอย่างเช่น หากคุณอยากออกกำลังกาย แต่รู้สึกขี้เกียจ คุณก็อาจกำหนดรางวัลให้กับตัวเอง เช่น เมื่อออกกำลังกายครบ 30 วัน คุณจะซื้อเสื้อผ้าใหม่ เป็นต้น
5. อดทนและฝึกฝน
การเลิกขี้เกียจต้องใช้เวลาและการฝึกฝน เมื่อเราทำสิ่งใดซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดความเคยชิน และรู้สึกอยากทำสิ่งนั้นมากขึ้น ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังฝึกฝนเล่นกีฬาอยู่ ก็ควรอดทนและฝึกฝนต่อไป เมื่อคุณฝึกฝนจนชำนาญ คุณก็จะรู้สึกสนุกและอยากเล่นกีฬามากขึ้น
บทสรุป
เลิกขี้เกียจ ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องอาศัยความพยายามและวินัยในตนเอง หากเราทำตามวิธีที่กล่าวมาข้างต้น ก็จะช่วยให้เลิกขี้เกียจและประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
หากคุณกำลังรู้สึกขี้เกียจอยู่ อย่าเพิ่งท้อใจไป ลองนำวิธีเหล่านี้ไปปรับใช้ดู รับรองว่าจะช่วยให้คุณเปลี่ยนเป็นคนใหม่ ไม่ขี้เกียจอีกต่อไป และอย่าลืมสร้างแรงจูงใจ ให้กับตัวเองอยู่เสมอ ว่าทำไมคุณถึงต้องการเลิกขี้เกียจ การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณมีกำลังใจที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้
ที่สำคัญที่สุด คือ จงเชื่อมั่นในตัวเอง ว่าคุณทำได้ คุณมีความสามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ หากเชื่อมั่นในตัวเอง เราก็จะมีพลังที่จะลุกขึ้นสู้กับความขี้เกียจ และก้าวไปสู่ความสำเร็จได้
ว่าคุณทำได้ คุณมีความสามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ หากเราเชื่อมั่นในตัวเอง เราก็จะมีพลังที่จะลุกขึ้นสู้กับอุปสรรคต่างๆ และก้าวไปสู่ความสำเร็จได้
ร่วมแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ “วิธีเลิกขี้เกียจ เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่”