ในทุกศาสนา ล้วนมีแนวคิดเกี่ยวกับพันธนาการที่รั้งเราไว้กับโลกแห่งความทุกข์ และในพุทธศาสนา พันธนาการเหล่านี้ถูกเรียกว่า “สังโยชน์” ซึ่งหมายถึงกิเลสหรือเครื่องผูกมัดที่คอยดึงรั้งจิตใจเราให้เวียนว่ายอยู่ใน วัฏฏสงสาร พันธนาการเหล่านี้มี 10 ประการ ได้แก่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะ พยาบาท รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา
สังโยชน์
สังโยชน์ ในศาสนาพุทธหมายถึง กิเลสที่ผูกมัดจิตใจสัตว์ไว้กับทุกข์ มี 10 ประการ แบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการได้แก่สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามฉันทะ พยาบาท และสังโยชน์เบื้องสูง 5 ประการได้แก่ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา การละสังโยชน์เป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์และ บรรลุถึงนิพพาน
ความหมายของสังโยชน์
ในพระพุทธศาสนา สังโยชน์ หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์หรือธรรมที่มัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์ สังโยชน์มี 10 ประการ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
- สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการ
- สังโยชน์เบื้องสูง 5 ประการ
ประเภทของสังโยชน์
ในพระพุทธศาสนา สังโยชน์ หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์ สังโยชน์มี 10 ประการ แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ
สังโยชน์เบื้องต่ำ 5
สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการเป็นกิเลสที่พบเห็นได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ได้แก่
- สักกายทิฏฐิ : ความเห็นผิดว่า ขันธ์ 5 คือตัวตน ตัวอย่างเช่น เห็นว่าร่างกายนี้เป็นเรา จิตใจนี้เป็นเรา เป็นต้น
- วิจิกิจฉา : ความสงสัยลังเลในคุณของพระรัตนตรัย ตัวอย่างเช่น สงสัยในพระพุทธเจ้า สงสัยในพระธรรม สงสัยในพระสงฆ์ เป็นต้น
- สีลัพพตปรามาส : ความยึดมั่นถือมั่นอยู่ในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศีลพรตภายนอกพระพุทธศาสนา หรือการถือข้อปฏิบัติที่ผิด ตัวอย่างเช่น ยึดมั่นในศาสนาอื่น ยึดมั่นในไสยศาสตร์ เป็นต้น
- กามราคะ : ความพอใจในกามคุณ ตัวอย่างเช่น ชอบดูรูปโป๊ ชอบฟังเพลงลามก ชอบพูดจาหยาบคาย เป็นต้น
- ปฏิฆะ : ความกระทบกระทั่งในใจ ความหงุดหงิดขัดเคือง ตัวอย่างเช่น โมโห โกรธ เกลียด ริษยา เป็นต้น
สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการเป็นกิเลสที่ขัดขวางไม่ให้บุคคลบรรลุถึงธรรมะและหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร
สังโยชน์เบื้องสูง 5
สังโยชน์เบื้องสูง 5 ประการเป็นกิเลสที่พบได้ยากกว่าสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ประการ ได้แก่
- รูปราคะ : ความพอใจในรูปฌาน ตัวอย่างเช่น ชอบความสุขสงบที่เกิดขึ้นในฌาน ยึดติดในฌาน เป็นต้น
- อรูปราคะ : ความพอใจในอรูปฌาน ตัวอย่างเช่น ชอบความสุขที่เกิดจากการไม่มีรูป ไม่มีนาม ยึดติดในอรูปฌาน เป็นต้น
- มานะ : ความถือตัวว่าเป็นใหญ่กว่าผู้อื่น ตัวอย่างเช่น คิดว่าตนเก่งกว่าผู้อื่น คิดว่าตนดีกว่าผู้อื่น เป็นต้น
- อุทธัจจะ : ความฟุ้งซ่าน ตัวอย่างเช่น คิดโน่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ เป็นต้น
- อวิชชา : ความไม่รู้แจ้ง ตัวอย่างเช่น ไม่รู้ว่าทุกข์เกิดจากอะไร ไม่รู้ว่าดับทุกข์ได้อย่างไร เป็นต้น
สังโยชน์เบื้องสูง 5 ประการเป็นกิเลสที่ขัดขวางไม่ให้บุคคลบรรลุถึงนิพพาน
สาเหตุของสังโยชน์
ในพระพุทธศาสนา สังโยชน์ หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์ สังโยชน์มี 10 ประการ สาเหตุของสังโยชน์เกิดจากปัจจัย 2 ประการ คือ
- ปัจจัยภายใน หมายถึง ปัจจัยที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของบุคคล ได้แก่
- ตัณหา : ความอยากได้อยากมี อยากเป็น อยากทำ เป็นต้น ตัณหาเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งปวง
- อุปาทาน : ความยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นในอารมณ์ ยึดมั่นในสิ่งภายนอก เป็นต้น
- ปัจจัยภายนอก หมายถึง ปัจจัยที่เกิดขึ้นภายนอกจิตใจของบุคคล ได้แก่
ตัวอย่างของสาเหตุของสังโยชน์
- สักกายทิฏฐิ เกิดจากปัจจัยภายใน ได้แก่ ตัณหา อุปาทาน และขันธ์ 5
- ตัณหา : ความอยากเป็นร่างกายนี้ อยากมีจิตใจนี้ เป็นต้น
- อุปาทาน : ความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายและจิตใจ เป็นต้น
- ขันธ์ 5 : ร่างกายและจิตใจเป็นที่ตั้งแห่งตัณหาและอุปาทาน
- วิจิกิจฉา เกิดจากปัจจัยภายใน ได้แก่ ตัณหา อุปาทาน และโลกธรรม
- ตัณหา : ความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งภายนอก เป็นต้น
- อุปาทาน : ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งภายนอก เป็นต้น
- โลกธรรม : สุข ทุกข์ ดี ชั่ว สรรเสริญ นินทา สรรเสริญนินทา สุขทุกข์ที่มาพร้อมโลกธรรม เป็นที่ตั้งแห่งตัณหาและอุปาทาน
- สีลัพพตปรามาส เกิดจากปัจจัยภายใน ได้แก่ ตัณหา อุปาทาน และโลกธรรม
- ตัณหา : ความอยากได้อยากมีในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศีลพรตภายนอกพระพุทธศาสนา เป็นต้น
- อุปาทาน : ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือศีลพรตภายนอกพระพุทธศาสนา เป็นต้น
- โลกธรรม : สุข ทุกข์ ดี ชั่ว สรรเสริญ นินทา สรรเสริญนินทา สุขทุกข์ที่มาพร้อมโลกธรรม เป็นที่ตั้งแห่งตัณหาและอุปาทาน
- กามราคะ เกิดจากปัจจัยภายใน ได้แก่ ตัณหา อุปาทาน และโลกธรรม
- ตัณหา : ความอยากได้อยากมีในกามคุณ เป็นต้น
- อุปาทาน : ความยึดมั่นถือมั่นในกามคุณ เป็นต้น
- โลกธรรม : สุข ทุกข์ ดี ชั่ว สรรเสริญ นินทา สรรเสริญนินทา สุขทุกข์ที่มาพร้อมโลกธรรม เป็นที่ตั้งแห่งตัณหาและอุปาทาน
- ปฏิฆะ เกิดจากปัจจัยภายใน ได้แก่ ตัณหา อุปาทาน และโลกธรรม
- ตัณหา : ความอยากได้อยากมีในสิ่งที่ตรงข้ามกับกามคุณ เป็นต้น
- อุปาทาน : ความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ตรงข้ามกับกามคุณ เป็นต้น
- โลกธรรม : สุข ทุกข์ ดี ชั่ว สรรเสริญ นินทา สรรเสริญนินทา สุขทุกข์ที่มาพร้อมโลกธรรม เป็นที่ตั้งแห่งตัณหาและอุปาทาน
ผลของสังโยชน์
ในพระพุทธศาสนา สังโยชน์ หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์ สังโยชน์มี 10 ประการ ผลของสังโยชน์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประการ คือ
- ผลภายใน หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของบุคคล ได้แก่
- ความทุกข์ : สังโยชน์เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งปวง บุคคลที่มีสังโยชน์ย่อมประสบกับทุกข์ต่าง ๆ เช่น ความทุกข์ทางกาย ความทุกข์ทางใจ ความทุกข์จากการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นต้น
- ความมืดบอดทางปัญญา : สังโยชน์ทำให้บุคคลมืดบอดทางปัญญา ไม่สามารถเห็นแจ้งในความจริงตามความเป็นจริง ไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง
- ความยึดติด : สังโยชน์ทำให้บุคคลยึดติดในสิ่งต่าง ๆ เช่น ยึดติดในร่างกาย ยึดติดในอารมณ์ ยึดติดในสิ่งภายนอก เป็นต้น
- ผลภายนอก หมายถึง ผลที่เกิดขึ้นภายนอกจิตใจของบุคคล ได้แก่
- ความวุ่นวาย : สังโยชน์ทำให้บุคคลเกิดความวุ่นวายทั้งกายและใจ ไม่สามารถสงบสุขได้
- ความขัดแย้ง : สังโยชน์ทำให้บุคคลเกิดความขัดแย้งกับตนเองและผู้อื่น
- ความเดือดร้อน : สังโยชน์ทำให้บุคคลเดือดร้อนทั้งตนเองและผู้อื่น
ตัวอย่างของผลของสังโยชน์
- สักกายทิฏฐิ ทำให้เกิดผลภายใน ได้แก่ ความทุกข์ ความมืดบอดทางปัญญา ความยึดติด เป็นต้น และทำให้เกิดผลภายนอก ได้แก่ ความวุ่นวาย ความขัดแย้ง ความเดือดร้อน เป็นต้น
- วิจิกิจฉา ทำให้เกิดผลภายใน ได้แก่ ความทุกข์ ความมืดบอดทางปัญญา ความยึดติด เป็นต้น และทำให้เกิดผลภายนอก ได้แก่ ความวุ่นวาย ความขัดแย้ง ความเดือดร้อน เป็นต้น
- สีลัพพตปรามาส ทำให้เกิดผลภายใน ได้แก่ ความทุกข์ ความมืดบอดทางปัญญา ความยึดติด เป็นต้น และทำให้เกิดผลภายนอก ได้แก่ ความวุ่นวาย ความขัดแย้ง ความเดือดร้อน เป็นต้น
- กามราคะ ทำให้เกิดผลภายใน ได้แก่ ความทุกข์ ความมืดบอดทางปัญญา ความยึดติด เป็นต้น และทำให้เกิดผลภายนอก ได้แก่ ความวุ่นวาย ความขัดแย้ง ความเดือดร้อน เป็นต้น
- ปฏิฆะ ทำให้เกิดผลภายใน ได้แก่ ความทุกข์ ความมืดบอดทางปัญญา ความยึดติด เป็นต้น และทำให้เกิดผลภายนอก ได้แก่ ความวุ่นวาย ความขัดแย้ง ความเดือดร้อน เป็นต้น
วิธีการละสังโยชน์
ในพระพุทธศาสนา สังโยชน์ หมายถึง กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์ สังโยชน์มี 10 ประการ การละสังโยชน์เป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารและบรรลุถึงนิพพาน
การละสังโยชน์ต้องอาศัยการเจริญปัญญาและการปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ ปัญญาจะทำให้บุคคลเห็นแจ้งในความจริงตามความเป็นจริง รู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ อะไรเป็นทางดับทุกข์ เมื่อบุคคลเห็นแจ้งแล้ว ก็จะสามารถละกิเลสและหลุดพ้นจากทุกข์ได้
สำหรับการปฏิบัติธรรมเพื่อละสังโยชน์นั้น มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การเจริญสติ การเจริญสมาธิ การเจริญวิปัสสนา เป็นต้น บุคคลควรเลือกวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมกับตนเองและเพียรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ย่อมสามารถละสังโยชน์และบรรลุถึงธรรมะและหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารได้
วิธีการละสังโยชน์โดยละเอียด
การละสังโยชน์สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ขั้นตอนหลัก ๆ คือ
ขั้นตอนแรก : การพิจารณาให้เห็นชัดถึงสังโยชน์และผลของสังโยชน์
ขั้นตอนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการละสังโยชน์ บุคคลต้องพิจารณาให้เห็นชัดถึงสังโยชน์ว่าคืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร ส่งผลอย่างไรต่อตนเองและผู้อื่น เมื่อบุคคลเห็นชัดถึงสังโยชน์แล้ว ก็จะเกิดความเบื่อหน่ายและอยากละสังโยชน์
ขั้นตอนที่สอง : การเจริญปัญญาและการปฏิบัติธรรมเพื่อละกิเลส
เมื่อบุคคลเห็นชัดถึงสังโยชน์แล้ว ก็ต้องเจริญปัญญาและการปฏิบัติธรรมเพื่อละกิเลส ปัญญาจะทำให้บุคคลเห็นแจ้งในความจริงตามความเป็นจริง รู้ว่าอะไรเป็นทุกข์ อะไรเป็นเหตุแห่งทุกข์ อะไรเป็นทางดับทุกข์ เมื่อบุคคลเห็นแจ้งแล้ว ก็จะสามารถละกิเลสและหลุดพ้นจากทุกข์ได้
สำหรับการปฏิบัติธรรมเพื่อละสังโยชน์นั้น มีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การเจริญสติ การเจริญสมาธิ การเจริญวิปัสสนา เป็นต้น บุคคลควรเลือกวิธีปฏิบัติที่เหมาะสมกับตนเองและเพียรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ ย่อมสามารถละสังโยชน์และบรรลุถึงธรรมะและหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารได้
ตัวอย่างวิธีการเจริญปัญญาและการปฏิบัติธรรมเพื่อละสังโยชน์
สำหรับสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 เช่น สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ เป็นต้น สามารถใช้วิธีการเจริญสติและเจริญปัญญาเพื่อละได้ โดยการพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ไม่สะอาด ไม่เป็นตัวตนของขันธ์ 5 และอสังขารูป
สำหรับสังโยชน์เบื้องสูง 5 เช่น รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา เป็นต้น สามารถใช้วิธีการเจริญสมาธิและเจริญวิปัสสนาเพื่อละได้ โดยเจริญสมาธิให้เข้าถึงฌาน และใช้วิปัสสนาญาณพิจารณาเห็นความว่างเปล่าของขันธ์ 5 และอนัตตา
คำถามที่พบบ่อย
Q: ทำไมเราจึงต้องละสังโยชน์?
A: การละสังโยชน์เป็นหนทางสู่การพ้นทุกข์และบรรลุถึงนิพพาน เมื่อเราละสังโยชน์ได้ จะทำให้เราหลุดพ้นจากพันธนาการทางจิตและอวิชชา สามารถดำเนินชีวิตอย่างอิสระและพ้นทุกข์
Q: เราสามารถละสังโยชน์ทั้งหมดได้หรือไม่?
A: การละสังโยชน์ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความเพียรพยายามและการปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ ในเบื้องต้นอาจยาก แต่เมื่อฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอและได้รับคำแนะนำจากครูบาอาจารย์ ก็สามารถละสังโยชน์และบรรลุถึงนิพพานได้
Q: การละสังโยชน์มีประโยชน์อย่างไร?
A: การละสังโยชน์จะทำให้เราหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวง มีความสุขอย่างแท้จริง มีปัญญารู้แจ้งในความจริงตามความเป็นจริง สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องเหมาะสม เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น
บทสรุป
การละสังโยชน์เป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นจากวัฏฏสงสารและบรรลุถึงอรหัตตผล แต่การละสังโยชน์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการเจริญปัญญาและการปฏิบัติธรรมอย่างสม่ำเสมอ ด้วยความเพียรพยายามและศรัทธาในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราทุกคนสามารถละสังโยชน์ได้และบรรลุถึงความสุขที่แท้จริง
ขอบคุณแหล่งที่มาของข้อมูล
- พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลธรรม โดย พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) หน้า 499-501
- ธรรมะเพื่อชีวิต โดย พระไพศาล วิสาโล หน้า 83-84
- คู่มือปฏิบัติธรรม โดย พระไพศาล วิสาโล หน้า 58-60
- พุทธธรรม ฉบับปรับขยาย โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) หน้า 518-520
- พระไตรปิฎก ฉบับภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม 1 ภาค 1 หน้า 13-14
ร่วมแสดงความคิดเห็นในหัวข้อ “สังโยชน์ หลักธรรมพระพุทธศาสนา”