คลิปวีดีโอติวเข้ม GAT เชื่อมโยง โดย อ.ปิง ศิริวัฒน์ (ยาว 45 นาที) สำหรับน้องๆสมาชิกเว็ป tewfree.com ที่กำลังเตรียมตัวสอบ Admissions กันครับ พร้อมกันแล้วยัง? อ.ปิง พร้อมสอน GAT เชื่อมโยงแล้ว ไปเรียนกันเลย!
Download เอกสารประกอบการเรียน
GAT ความคิดเชื่อมโยง อ.ปิง (ชุดปี 2552).pdf
คลิ๊กขวาเพื่อ download ไฟล์เอกสารลงเครื่องนะครับ
ใช้โปรแกรม Adobe Reader ในการเปิดอ่าน
GAT เชื่อมโยง อ.ปิง ศิริวัฒน์ 1/3
GAT เชื่อมโยง อ.ปิง ศิริวัฒน์ 2/3
GAT เชื่อมโยง อ.ปิง ศิริวัฒน์ 3/3
ทำความรู้จักกับ อ.ปิง กัน
ไปทำความรู้จักกับ อาจารย์ปิง เจริญศิริวัฒน์ แห่งสถาบันกวดวิชา Da’vance ติวเตอร์ภาษาไทย – สังคม ที่รักของเด็กๆ ทุกคน ซึ่งต่างพูดมาเป็นเสียงเดียวกันว่าประทับใจในการสอน “เคลียร์ไม่มีคาใจ” และความเป็นคนดีของอาจารย์ปิง ฮอตฮิตติดท็อป 5 ของเมืองไทยตลอด
ขอให้อาจารย์ช่วยแนะนำตัวหน่อยคะ
อ.ปิง : ชื่อ ปิง เจริญศิริวัฒน์ จบจากสาขาบริหารงานบุคคล คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คะ ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนสถาบัน DA’VANCE และเป็นอาจารย์พิเศษระดับมัธยมปลายทั้งโรงเรียนรัฐบาลและเอกชน
แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้อาจารย์เลือกมาสอนวิชาภาษาไทย – สังคมคะ
อ.ปิง : ตั้งแต่เด็กๆ จำได้ว่าอยากเป็นครูมาโดยตลอดค่ะ แม้ว่าจะมีคนมาถามบ่อยๆ ว่าทำไม อ.ปิงถึงมาเป็นครูสอนวิชาภาษา ไทย – สังคม ทั้งที่จบคณะบัญชี ทำไมไปสอนวิชาคณิตศาสตร์ แต่กลับมาสอนไทย-สังคม ก็เลยบอกว่าเป็นคนคิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น และตัวครูเองอยากเป็นครูมาตั้งแต่เด็กๆ แม้ว่าอาจจะทำอย่างอื่นๆได้ แต่ก็ไม่ทิ้งสิ่งที่ตัวเองเป็นจริงๆ นั่นคือการเป็น “ครู” ก็เลยสอนมาโดยตลอดคะ ส่วนที่มาสอนไทย-สังคมก็เพราะว่า จริงๆ วิชาที่ครูถนัดมากๆและเรียนได้ในระดับท็อปมีอยู่ 4 วิชา คือ ไทย สังคม เลข อังกฤษ แต่ใน 4 วิชานี้ ตัวที่ถนัดที่สุดคือเลข เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ตายตัว บางคนอาจจะว่ายาก อย่างตรีโกณ พอครูเห็นโจทย์ก็รู้ว่ามันต้องคิดอย่างไรให้เร็ว เห็นโจทย์ครูสามารถตีออก แต่อย่างวิชาอังกฤษที่เป็นปัญหาสำหรับตัวครูเอง คือ การที่เราต้องออกเสียงสำเนียงให้เป็นอังกฤษ แต่โดยธรรมชาติเราเรียนเพื่อเอามาอ่าน หรือเอามาเขียนมากกว่าที่เราจะเอามาฟัง เพราะแบบนั้นมันก็มีปัญหา ส่วนวิชาสังคมถึงแม้ว่าจะได้คะแนนท๊อปแต่รู้สึกว่ามันยังไม่ได้มีความเป็นหนึ่งเพราะว่าสังคมจริงๆ ต้องรู้ลึก ต้องรู้อะไรมากกว่านี้ คืออย่างเช่น เรามานั่งท่องชื่อภูเขาแต่เรายังไม่เคยเห็น เราจะรู้ได้อย่างไร ฉะนั้นใน 4 วิชานี้โดยส่วนตัวแล้วถือว่า วิชาสังคมมันยากเพราะมันกว้างและจะให้รู้จริงคะ ที่นี้ต่อมาพอเรียนสอบ Pre – entranceเป็นที่หนึ่งของประเทศในการสอบคณิตศาสตร์แววออกทางคณิตศาสตร์ อาจารย์ก็เรียกไปพบแล้วถามว่า เธอเรียนสายศิลป์ทำไมเธอได้ท๊อปเลขมากกว่าห้องวิทย์อีก อาจารย์เขาว่าเธอมีความสามารถด้านนี้ แต่ทำไมเธอคิดคับแคบมาเลือกเรียนสายศิลป์ แล้วพูดต่อว่า เธอรู้ไหมพวกที่เรียนสายศิลป์เป็นพวกที่ไม่มีความคิดมาเรียน ตัวครู(อ.ปิง)ก็เลยมีความรู้สึกว่า อาจารย์เขาสอนวิทย์แต่ก็ไม่น่าไปดูถูกคนที่เขาถนัดอีกสายหนึ่ง ซึ่งถ้าทุกคนคิดแบบนี้หมดแล้วเมื่อไรจะเกิดสายศิลป์ที่ดี เมื่อไรจะมีคนที่เข้าใจถูกต้อง ครู(อ.ปิง)ก็เลยตั้งใจว่าเมื่อไรที่เป็นครูแล้วเราจะเป็นครูทางสายศิลป์ และยังเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า ถ้าเราไม่เริ่มก็จะไม่มีเลย ฉะนั้นเราต้องทำอันนี้เป็นจุดยืนของตัวครูเอง
อาจารย์เริ่มสนใจการสอนตั้งแต่เมื่อไรคะ
อ.ปิง : ครูเองเริ่มการสอน จากการติวเพื่อนๆ ในกลุ่ม และเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่เรียนอยู่ที่มัธยมปลาย โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย โดยเพื่อนบอกว่า ครูเก่งเลขก็มาติวเลขสิ ดังนั้นช่วงเย็นก็ติวให้เพื่อนทุกวัน เพราะอยากเป็นครูในอนาคต และเพื่อนๆ นั่งฟังกันเงียบและจดตามที่เราพูด และบอกว่าเราสอนดี เข้าใจง่าย เราได้ยินดีใจ ปลื้มด้วยว่า เราก็สอนได้ดีเหมือนกัน ก็เลยติวมาเรื่อยๆ คะ และพอเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยก็ยังมีรับสอนพิเศษเรื่อยมา จริงๆ ตอนแรกมีสอนคณิตศาสตร์ ซึ่งมีน้องๆ เด็กๆ มาเรียนกันเราเยอะ แต่เพราะไม่อยากแย่งเพื่อนสอนเลยหันไปสอนวิชาอื่นที่เราก็ถนัดเหมือนกันแทน ซึ่งครูเลือกสอนวิชาภาษาไทย เพราะวิชาที่ครูชอบและคิดว่าน่าจะสอนออกมาได้ดีที่สุด เพราะมันมีหลักค่อนข้างตายตัว และเป็นภาษาพ่อภาษาแม่ของเราเอง ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องสำเนียง เหมือนภาษาอังกฤษ ซึ่งจริงๆ ครูก็สอนได้นะ แต่ถ้าทำให้ออกมาได้ไม่ดีที่สุดก็ไม่อยากทำ อย่างถ้าเจ้าของภาษาเขามาฟัง และเกิดบอกว่า สำเนียนของยูไม่ถูกต้อง ทั้งๆ ที่เป็นติวเตอร์ดังคงอายเขาตายเลย ส่วนสังคม โดยส่วนตัวครูคิดว่า ถ้าจะสอนให้ได้ดีจะต้องมีประสบการณ์มากในระดับหนึ่งเพราะสังคมเป็นวิชาที่กว้างมากและจะให้รู้จริงรู้แน่น ทั้งคม ทั้งชัด ทั้งลึกซึ่งเราต้องศึกษาอีกนาน ไม่ใช่ศึกษาแค่มัธยมศึกษาตอนปลายหรือมหาวิทยาลัยแล้วจะจบแค่ตรงนั้น ครูคิดว่าประสบการณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดคะ แม้ว่าเราจะไม่ได้จบมาโดยตรงเพราะสิ่งต่างๆ เหล่านนี้เราสามารถศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมได้ และต้องใช้ประสบการณ์ในการสั่งสมความรู้ เทคนิคการสอน ซึ่งตอนนี้ครูคิดว่าตัวเองสอนดีกว่าตอนแรกที่เริ่มสอนอีก ประมาณ “ขิงยิ่งแก่ ยิ่งร้อนแรง” คะ
แนวการสอน หรือสไตล์การสอนของอาจารย์เป็นอย่างไรคะ
อ.ปิง : เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องเฟคเป็นอารมณ์แบบใสๆ เวลาเราคุยกับเด็กอยู่กับเด็กเราจะตลกอะไรก็ได้ สอนให้สนุก เรียนแล้วมีความสุข ให้เป็นความเป็นกันเองและมีความอบอุ่นใกล้ชิดกันระหว่างตัวผู้สอน คือ ตัวครูเอง (อ.ปิง) กับนักเรียน ซึ่งตัวครูเองรู้สึกว่า มีความสุขที่ได้อยู่ในห้องเรียน แล้วมีความสุขทุกครั้งที่จบการสอน เห็นเด็กบางคนนั่งหลับเราก็เดินไปหา เพื่อนๆเค้า ก็จะบอกว่าอาจารย์เดินมา แต่เราก็เข้าใจนะว่าเด็กบางคนเล่นกีฬามาเขาก็เหนื่อย เราก็ให้เราพักก่อนไม่เคยจะไปด่าเขาว่าเธอลุกขึ้นมาเรียนนะ หรือถ้าเด็กคุยกันในห้อง ครูก็มีวิธีคือ เราต้องพยายามเข้าใจเขาก่อนว่า เราสอนน่าเบื่อหรือเขากำลังสนใจเรื่องอะไรอยู่ ไม่ใช่มาถึงด่าเขาเลย เด็กบางคนพอด่าเขาเขาก็จะต้านเราทันทีว่าอาจารย์ไม่มีเหตุผล ซึ่งเด็กสมัยนี้ ไม่กลัว อาจารย์จะสอนเขาได้เราต้องได้ใจเขาก่อน ไม่ใช่บังคับเด็กให้มาเรียนเพราะถ้าเขาไม่ชอบเขาก็ไม่เรียนเลยและเวลาที่สอน ครูเน้นพูดให้รู้เรื่อง บรรยากาศในห้อง ไม่ใช่พูดคนเดียว แต่ดึงลูกศิษย์คนนั้นคนเนี้ยเข้ามามีส่วนร่วม ส่วนหัวข้อเรื่องจะดูว่าเขากำลังสนใจเรื่องอะไร
ดารา นักร้องคนไหน วิจารณ์เรื่องต่างๆ นานา หาเรื่องตลกขบขัน เรื่องผี จิตวิญญาณมีเรื่องพูดมากมาย ยกตัวอย่างเช่น สอนเรื่องขุนช้างขุนแผน ครูก็จะเล่าเวอร์ชั่นวัยรุ่นผสมมุกฮา ใส่สีตีไข่เข้าไป เด็กๆจะหัวเราะไม่ใช่เล่าเรื่องตามตำราไปเรื่อยๆ ถ้าลักษณะนั้นนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านก็ได้ หรือครูก็เอาประสบการณ์จริง ที่เราไปเจอมาเล่าให้เด็กฟัง ซึ่งครูจะเน้นว่า เราสอนเด็กต้องเข้าใจ เราต้องการให้เด็กมาเรียนเพื่อด้วยความสนุก ไม่ใช่มาเรียนเพื่อมาเล่นหรือมาหลับในห้องโดยกว่าจะสอนอย่างนี้ได้ ครูต้องทำการบ้านเยอะมาก ต้องเข้าไปอ่านค้นคว้าข้อมูลซึ่งสำรวจทีละหลายอันจากเว็บไซต์หลายแหล่ง ก่อนจะเลือกนำมาใช้ประกอบการสอนคะ ไม่ใช่ว่าจะเอาอะไรมาเล่าก็ได้ เราต้องศึกษาดูว่า อะไรที่เด็กควรต้องรู้เหตุการณ์อะไรในปัจจุบันและอะไรที่อินเทรนด์ ฯลฯ อย่างคอร์สหนึ่งเรียน 2 ชั่วโมง แต่ต้องใช้เวลาเตรียมหัวข้อหรือค้นหาข้อมูลเรื่องราวไว้มากกว่า 5 ชั่วโมง พูดง่ายๆ เตรียมไว้หลายเวอร์ชั่นในเรื่องเดียวกัน ซึ่งเด็กรุ่นนี้ครูอาจสอนแบบหนึ่ง อีกรุ่นจะอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง แต่สุดท้ายเด็กมีความรู้เหมือนกัน
การเปลี่ยนแปลงระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย เป็นระบบแอดมิชชั่น มีผลกระทบต่อวิชาภาษาไทยและสังคมอย่างไร
อ.ปิง : ครูว่าในส่วนของตัววิชาแล้วไม่มีผลกระทบนะค่ะ แต่อาจจะหนักหน่อยในส่วนของผู้ที่สอบ ก็คือกลุ่มนักเรียน ม.6 ที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยนี่แหละค่ะ เพราะครูขอบอกเลยว่าคนที่ออกข้อสอบแอดมิชชั่นเดี๋ยวนี้นั่นเก่งมากๆ ซึ่งออกได้ครอบคลุมทุกเนื้อหาวิชาเลย อย่างวิชาสังคมเนี้ย ในโลกมีทั้งหมดกี่ทวีป ในข้อสอบก็จะออกหมด และจะไม่ถามแค่เรื่องรอบตัวเท่านั้นด้วยนะค่ะ ยังมีการเจาะลึกแบบว่า ชนเผ่านี้อยู่ส่วนใดของทวีป หรือ ทวีปนี้ใช้กี่ภาษา ซึ่งต้องบอกเลยว่าผู้ออกข้อสอบนั้นเก่งเพราะออกข้อสอบได้ครอบคลุมและลึกมากๆ เลยค่ะ ทุกวันนี้ครูเลยเรียกการเรียนวิชาสังคมว่า เป็นการเรียนวิชา “ฟูเฮาส์” เพราะข้อสอบออกได้ละเอียดมากๆผู้เรียนเลยต้องเรียนแบบหัวฟู ก็ประมาณนี้นะค่ะ
แนวข้อสอบแอดมิชชั่น ในวิชาภาษาไทยและสังคม มีทิศทางอย่างไรและเน้นไปที่เนื้อส่วนไหนเป็นพิเศษ
อ.ปิง : อย่างวิชาภาษาไทยเนี้ย ครูพอจะคาดเดาได้นะค่ะว่าจะออกแนวไหน ซึ่งแต่ละปีก็จะออกพวกสระ วรรณยุกต์ และก็วรรณกรรมวรรณคดีต่างๆ ซึ่งโจทย์แต่ละข้อก็จะให้ประมาณให้ตีความหมาย ว่าสื่อถึงอะไร เรื่องนี้ผู้แต่งแสดงความรู้สึกอย่างไร แต่อย่างวิชาสังคมเนี้ย เรียกได้ว่าคาดเดาได้ยาก เพราะอย่างที่บอกว่า ผู้ออกข้อสอบนั้นเก่งจริงๆ คือเราจะไม่รู้เลยว่าในแต่ละปีเขาเลือกออกส่วนไหน เช่น ปีนี้เขาหยิบเอาทวีปอะไรมาออก หรือปีถัดไปเลือกเอาวัฒนธรรมของชนเผ่าใดมาออก จึงก็อยากจะฝากบอกนักเรียนว่า วิชาสังคมนี้ต้องอาศัย ความจำบวกกับความเข้าใจเป็นหลักเลย แต่ส่วนใหญ่ในแต่ละปีที่ออก หัวข้อก็จะตามที่เราเรียน แต่พวกรายละเอียดอาจจะต้องไปค้นคว้ามาเพิ่มเติม
ในฐานะที่เป็นครูสิ่งใดที่ทำให้รู้สึกภูมิใจและประทับใจ คืออะไร
อ.ปิง : สิ่งที่ครูภูมิใจมากที่สุด ก็คงจะเป็นการที่ได้เป็นครูนี่แหละค่ะ เพราะตัวครูเองก็ไม่ได้เรียนทางด้านสายครูมา ไม่ได้จบวุฒิสำหรับประกอบอาชีพครูอาจารย์ แต่ครูมีใจรักและศรัทธาในความเป็นครู สิ่งนี้แหละค่ะที่ทำให้ครูภูมิใจ เวลาครูไปเยี่ยมตามสาขาต่างๆ ก็จะมีนักเรียนมารอต้อนรับครูมากมายหลายคนเลย และเวลาที่จะกลับ ก็จะมีบางคนวิ่งไปแอบร้องไห้ในห้องน้ำ เพราะไม่อยากให้กลับ บางคนก็วิ่งมาขอจับมือครูซึ่งทุกอย่างมันเป็นการแสดงออกถึงความรักที่นักเรียนมีให้ครู และทุกวันนี้ครูก็ได้ยึดถือมาโดยตลอดว่า ครูจะรักนักเรียนทุกคนให้มากกว่าที่นักเรียนทุกคนรักครู
อาจารย์อยากฝากอะไรถึงน้องๆที่กำลังศึกษาอยู่คะ
อ.ปิง : ภาษาไทยและสังคมเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งในการดำเนินชีวิตนะค่ะ เพราะในแต่ละวันนอกจากเราจะต้องใช้ภาษาแล้ว สังคมก็เป็นอีกหนึ่งความรู้ที่จะทำให้นักเรียนอยู่ร่วมกับเพื่อนได้อย่างมีความสุขค่ะ และสำหรับนักเรียนที่เตรียมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปี 51 นี้นะค่ะ อย่ามัวแต่ไปเครียดว่าจะทำไม่ได้ ให้ลองสู้ดูซักตั้งหนึ่ง และพยายามทำให้เต็มที่ ส่วนผลจะออกมาอย่างไร นักเรียนทุกคนจะภูมิใจกับมันเองค่ะ
ขอบคุณ: ETV Tutor Channel และเด็กดี
อุล แมน says
อธิบายเข้าใจง่าย ขอบคุณมากครับ
Great_x says
สุดยอด
Ebony says
excellent!
tequila says
ขอบคุณมากนะคะ
thun says
อยากได้เฉลย สองข้อที่เหลือด้านหลังคะ
ขอบคุนคะ